UFABETWINS ไม่มีวันแตกสลาย : “หลุยส์ แซมเปอรินี่” นักวิ่งโอลิมปิกผู้ถูกจับเป็นเชลยศึกสงครามกว่า 2 ปี

UFABETWINS “ถ้าคุณถูกจับไปทรมานทั้งร่างกายและจิตใจอย่างหนัก โดนทุบตีทุกวันเป็นระยะเวลากว่า 2 ปี คุณจะให้อภัยกับคนที่กระทำกับคุณแบบนั้นได้หรือเปล่า?”

นี่คือคำถามที่ หลุยส์ แซมเปอรินี่ ชายหนุ่มอดีตนักวิ่งโอลิมปิกทีมชาติสหรัฐอเมริกัน ก่อนชีวิตจะพลิกผันกลายไปเป็นเชลยศึกของกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต้องใช้เวลากว่าค่อนชีวิตเพื่อค้นหาคำตอบ ติดตามเรื่องราวการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ว่าคุณค่าชีวิตไม่มีวันแตกสลายของ หลุยส์ แซมเปอรินี่ ได้ เด็กหนุ่มเจ้าความเร็ว ก่อนที่จะกลายเป็นบุคคลสำคัญ

ในหน้าประวัติศาสตร์ แซมเปอรินี่ เป็นเพียงเด็กชายธรรมดาที่ลืมตาดูโลกในปี 1917 ณ รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางครอบครัวผู้อพยพชาวอิตาลีฐานะยากจน ทำให้เพียง 2 ปีหลังจากนั้น ครอบครัวของเขาต้องย้ายจากรัฐนิวยอร์กสู่รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อดิ้นรนหางานและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การเป็นครอบครัวผู้อพยพ ทำให้ แซมเปอรินี่

พูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีนัก เนื่องจากภาษาหลักที่เขาใช้คือภาษาอิตาเลียน ประกอบกับการมีฐานะยากจน ส่งผลให้ แซมเปอรินี่ ต้องกลายเป็น “คนแกร่ง” มาตั้งแต่เด็ก เขาไม่ใช่อันธพาล ไม่เคยหาเรื่องใครก่อน แต่เขาจำเป็นต้องฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จากผู้เป็นพ่อ เพื่อป้องกันตัวจากคนรอบข้างที่พร้อมจะรังแกเขาตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ภาพลักษณ์ของ

แซมเปอรินี่ ในวัยเด็กจึงดูเป็น “นักเลงหัวไม้” ตั้งกลุ่มตั้งแก๊งกับเพื่อน ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ “ผมทำตัวแบบนั้นเพราะแค่ผมไม่อยากถูกรังแก” แซมเปอรินี่ ในวัย 90 ปี เล่าย้อนความหลังกับ The Atlantic ทว่านานวันเข้า ในสายตาของครอบครัว แซมเปอรินี่ ก็เริ่มกลายเป็นเด็กเหลวไหลไร้อนาคตเข้าไปทุกที เมื่อเป็นเช่นนั้น พี่ชายแท้ๆของเขาซึ่งเป็นดาวเด่นในชมรมกรีฑา

UFABETWINS

โรงเรียนมัธยมทอร์รันซ์ จึงชักชวนน้องชายให้เข้าชมรมตามมาด้วย โดยหวังว่ากีฬาชนิดนี้จะช่วยปรับพฤติกรรมของ แซมเปอรินี่ ให้ดีขึ้น แซมเปอรินี่ จึงเข้าสู่โลกแห่งการวิ่งเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี “หลังจากนั้น ผมก็ตัดสินใจว่าจะวิ่งไปทุกที่ บ้านผมห่างจากชายหาด 4 ไมล์ ผมก็วิ่งไปโดยไม่ใช่ยานพาหนะใดๆ” “ผมทำแบบนั้นตลอดช่วงฤดูร้อนเพื่อจะดูว่าตัวเองวิ่งได้เร็ว

แค่ไหน แค่วิ่ง วิ่ง วิ่ง และก็วิ่งไปโดยไม่ได้จับเวลาอะไรเลย” แซมเปอรินี่ กล่าวถึงความประทับใจที่มีต่อการวิ่ง เขาค้นพบว่าตัวเองชื่นชอบกีฬาชนิดนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ลอง ก่อนที่จะเล่าต่อไปอีกว่า “ก่อนหน้าที่ผมจะเริ่มวิ่ง ทั้งโรงเรียนมีคนรู้จักชื่อผมแค่ 2-3 คน แต่หลังจากที่ผมวิ่งชนะ ทั้งโรงเรียนก็เริ่มเรียกชื่อผม” เมื่อได้รับคำชื่นชม บวกกับพรสวรรค์ระดับสูงที่ทำให้เขา

ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับใครเลยตลอด 3 ปีในการเรียนมัธยมปลาย แซมเปอรินี่ คือคนที่เร็วที่สุดในทุกระยะ จนได้รับฉายาว่า “ทอร์รันซ์ ทอร์นาโด” เด็กหนุ่มจึงรู้แล้วว่าชีวิตเขาต่อจากนี้จะก้าวไปในเส้นทางไหน ในปี 1934 แซมเปอรินี่ สามารถทำลายสถิติของรัฐแคลิฟอร์เนียในการวิ่งระยะทาง 1 ไมล์ได้ ด้วยเวลา 4 นาที 21 วินาที และด้วยผลงานก็ทำให้ แซมเปอรินี่

ได้รับทุนให้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย หรือ USC ดูเหมือนว่าเส้นทางการเป็นนักวิ่งของเขากำลังจะไปได้สวย เผชิญหน้าฮิตเลอร์ เมื่อเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย ฝีเท้าของ แซมเปอรินี่ ก็ไม่ได้แผ่วลง เขายังคงประกาศศักดาการเป็นเจ้าความเร็วด้วยการคว้าแชมป์วิ่งอีกหลายรายการ ทำลายสถิติมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นระยะ 1,500 เมตร

จนกระทั่งเมื่อโอลิมปิกปี 1936 ใกล้เข้ามา เด็กหนุ่มเชื้อสายอิตาเลียนคนนี้รู้สึกว่าตัวเองน่าจะมีดีพอแล้วสำหรับการเข้าคัดเลือกเพื่อเป็นตัวแทนไปแข่งในมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้ ในตอนแรกความฝันดังกล่าวเกือบจะไม่กลายเป็นความจริง เนื่องจากในยุคสมัยดังกล่าวนักกีฬาทุกคนที่มีความประสงค์เข้าร่วมการคัดเลือกต้องจ่ายทั้งค่าที่พักและเดินทาง

ด้วยตัวเอง ซึ่งมันได้กลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับ แซมเปอรินี่ ที่มีฐานะยากจน ทว่าสุดท้ายพ่อของเขาซึ่งทำงานเป็นพนักงานเดินตั๋วรถไฟก็สามารถหาตั๋วฟรีให้กับเขาได้ ส่วนเงินค่าที่พักก็ได้มาจากการระดมทุนในหมู่ผู้อพยพด้วยกัน “พวกเขาทุกคนฝากความหวังไว้ว่าผมจะกลายเป็นฮีโร่ของผู้อพยพอิตาลีด้วยกัน” แซมเปอรินี่ กล่าว ณ เกาะแรนดัลส์ รัฐนิวยอร์ก

สถานที่คัดเลือกนักวิ่งเพื่อเข้าร่วมโอลิมปิก วันนั้นเป็นวันที่อากาศร้อนจัด อุณหภูมิสูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ซึ่งนับเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับนักวิ่ง แต่เมื่อ แซมเปอรินี่ เดินทางไปถึง เขาก็พบกับอุปสรรคที่ใหญ่กว่าสภาพอากาศ อย่างที่กล่าวไปว่าระยะที่ แซมเปอรินี่ ถนัดในการวิ่งคือ 1,500 เมตร ถึงแม้เขาจะเคยวิ่งระยะอื่นมาบ้างก็ตาม ทว่าเมื่อเด็กหนุ่มได้ทราบถึง

คู่แข่งในระยะ 1,500 เมตรว่าล้วนแต่เป็นนักวิ่งชื่อดัง เคยมีผลงานระดับชาติมาแล้วทั้งนั้น โอกาสที่เขาจะเอาชนะได้แทบเป็นศูนย์ แซมเปอรินี่ จึงตัดสินใจอย่างกะทันหันว่าจะลงสมัครในระยะ 5,000 เมตร ซึ่งเป็นระยะที่เขาถนัดรองลงมาแทน เมื่อสัญญาณออกตัวดังขึ้น แซมเปอรินี่ ทำได้ดีกว่าที่ใครคิด ตลอดระยะทาง 5 กิโลเมตรเขาเกาะอยู่ในกลุ่มผู้นำตลอด

UFABETWINS

จนสุดท้ายการแข่งขันก็จบลงโดยที่เขาเป็นผู้ชนะร่วมกับ ดอน แลช เจ้าของสถิติอเมริกา ณ ขณะนั้น (ยุคสมัยดังกล่าวยังไม่มีเทคโนโลยีช่วยตัดสินในกรณีที่เข้าเส้นชัยเกือบพร้อมกัน) พร้อมกับคว้าตั๋วไปแข่งโอลิมปิกที่กรุงเบอร์ลินได้สำเร็จ ปี 1936 ณ กรุงเบอร์ลิน แซมเปอรินี่ เดินทางถึงเมืองหลวงแห่งจักรวรรดินาซีพร้อมกับกองทัพนักกีฬาสหรัฐอเมริกา

และด้วยวัยเพียง 19 ปี 178 วัน ทำให้เขากลายเป็นนักวิ่งอายุน้อยที่สุดที่เข้าร่วมการวิ่ง 5,000 เมตรในศึกโอลิมปิกจวบจนปัจจุบัน “ผมเป็นเด็กที่เติบโตมาในยุควิกฤติเศรษฐกิจ Great Depression ผมไม่เคยได้กินอาหารดีๆเลย แต่ที่นั่น (โอลิมปิก) มีอาหารดีๆเต็มไปหมด มีไข่กับเบคอนไม่อั้น และที่สำคัญคือกินได้ฟรีๆ ผมตื่นเต้นกับสิ่งนั้นมาก” แซมเปอรินี่ กล่าว

อย่างติดตลกถึงความทรงจำครั้งอดีต ทั้ง แซมเปอรินี่ และ แลช ไม่ใช่ตัวความหวังของทัพสหรัฐอเมริกา การจะขึ้นโพเดี้ยมคว้าเหรียญรางวัลแทบจะเป็นไปไม่ได้ถ้าวัดตามหน้าเสื่อกับนักกีฬาชาติอื่นๆ ดังนั้น เด็กหนุ่มจึงสนุกกับชีวิตในกรุงเบอร์ลินได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาณออกตัวดังขึ้น แซมเปอรินี่ ก็ทำให้ทุกคนที่เคยมองข้ามหันกลับมามองเขาได้สำเร็จ

จริงอยู่ที่สุดท้ายเขาจะจบด้วยอันดับที่ 8 ด้วยเวลา 14 นาที 46.8 วินาทีตามหลัง กุนนาร์ ฮอคการ์ด นักวิ่งตัวเต็งจากฟินแลนด์ผู้คว้าเหรียญทองกว่า 24 วินาที แต่สำหรับเด็กหนุ่มวัยเพียง 19 ปีที่ไร้ซึ่งประสบการณ์ระดับนานาชาติเท่านี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว นอกจากนั้น อีกหนึ่งสถิติที่น่าทึ่งของ แซมเปอรินี่ คือการที่เขาวิ่ง 400 เมตรสุดท้ายด้วยเวลาเพียง 56 วินาที

ซึ่งเร็วกว่าทุกคนในการแข่งขัน เป็นข้อพิสูจน์ว่าจริงๆแล้วเขายังมีเรี่ยวแรงเหลืออีกเยอะ ทำได้ดีกว่านี้อีกมาก เพียงแต่เขาขาดประสบการณ์ จึงไม่รู้ว่าควรจะปรับจังหวะการวิ่งของตัวเองอย่างไร ความยอดเยี่ยมของ แซมเปอรินี่ ไม่ใช่คำกล่าวอ้างที่เกินจริง เพราะแม้แต่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หนึ่งในบุคคลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งได้เข้ามาชมการแข่งขันครั้งนี้

ในสนามด้วย ถึงขั้นเรียกตัว แซมเปอรินี่ เข้าไปพบ “ตอนนั้นผมยังเด็กและไร้เดียงสาทางการเมืองมาก ผมยังไม่รู้ถึงความชั่วช้าของเขา ผมเห็นเขาเป็นเหมือนตัวละครในหนังตลก ที่ไว้หนวด และกระทืบเท้าแปลกๆ” แซมเปอรินี่ กล่าวกับ The New York Times เมื่อทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากัน ประโยคแรกที่ ฮิตเลอร์ กล่าวกับ แซมเปอรินี่ คือ “อ่า นายคือเด็กหนุ่มที่วิ่งเร็วคนนั้น

สินะ” จากนั้นก็มีบทสนทนากันอีกเล็กน้อย ก่อนที่จะจับมือแยกย้ายกัน “เขาผอมกว่าที่คิด” แซมเปอรินี่ กล่าวถึง ฮิตเลอร์ ทว่าความแสบสันต์ของเด็กหนุ่มนักวิ่งยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่ ฮิตเลอร์ กับผู้ติดตามเดินออกไปแล้ว แซมเปอรินี่ ได้แอบขโมยธงจักรวรรดินาซีเล็กๆ ที่ประดับอยู่ในห้องดังกล่าวติดมือกลับมาด้วย

คลิ๊กเลย >>>  https://www.ufabetwins.com/

อ่านข่าวเพิ่ม >>>  บ้านผลบอล